ตู้ Rack คือ อะไร
ตู้ Rack คือ ตู้สำหรับเก็บอุปกรณ์ Server Computer และ อุปกรณ์ Network ต่างๆ รวมถึงสายสัญญาณ (Network Cable) เอาไว้ข้างในเพื่อความสะดวกในการจัดเก็บอุปกรณ์และการบริหารจัดการสายสัญญาณ ซึ่งตู้ Rack จะแบ่งเป็นชั้นๆ มีหน่วยความสูงเรียกว่า U (อ่านว่า ยู) เช่น ตู้ Rack แบบติดผนัง 6U, 9U, 12U, หรือตู้ Rack แบบตั้งพื้น 15U, 27U, 36U, 39U, 42U, 45U (1U = 4.445 ซ.ม.หรือ 1.778 นิ้ว) และ ความกว้างเป็นนิ้ว เช่น Rack 19 นิ้ว" เป็นต้น
ตู้ Rack แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. ตู้ Rack แบบติดผนัง (Wall Rack) ซึ่งตู้ Rack แบบผนังจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆดังนี้
1.1 ตู้แร็คที่ใช้งานทั่วไปไม่ต้องการระบายความร้อนมากเป็นพิเศษ (Wall Rack)
1.2 ตู้แรกที่ต้องการระบายความร้อน ในระดับหนึ่ง (Front Perforated Wall Rack)
1.3 ตู้แร็คที่ต้องการระบายความร้อนสูงสุด (All Perforate Wall Rack)
ซึ่งความแตกต่างของแต่ละประเภท ก็ขึ้นอยู่กับว่าอุปกรณ์ในการใช้งานในตู้ Rack นั้นต้องการระบายความร้อนมากน้อยแค่ไหน ยกตัวอย่างเช่น ตู้เหล็กแบบแขวน ที่ติดตั้งในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ และ มีพัดลมระบายอากาศในตู้ โดยมีอุปกรณ์กระจายสัญญาณหรือที่เราเรียกว่า network switch เพียง 1 หรือ 2 เครื่อง ก็อาจจะเลือกเป็นตู้ Rack ประเภทที่ 1 ได้
โดยราคาก็จะมี ความแตกต่างกันไป แน่นอนครับ ประเภทที่ 1 ราคาย่อมต่ำที่สุด และประเภทที่ 3 ก็จะเป็นราคาที่สูงที่สุด แต่ราคาก็จะมีความแตกต่างกันไม่มากเท่าไหร่ แนะนำว่า ให้ดูวัตถุประสงค์ในการใช้งานเป็นหลักจะดีกว่า
2. ตู้ Rack แบบตังพื้น (Tower Rack) ซึ่งตู้ Rack แบบตั้งพื้นจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆดังนี้
2.1 ตู้ Rack ที่ต้องการการระบายความร้อนไม่มาก เช่นมีอุปกรณ์เน็ตเวิร์ค 2-3 เครื่อง และมีสายสัญญาณ Network Cable และเครื่องสำรองไฟฟ้า(UPS) ขนาดเล็ก เป็นจำนวนหนึ่ง (เรียกว่า Rack)
2.2 ตู้ Rack ที่ต้องการการระบายความร้อนระดับหนึ่ง เช่นมี Server, อุปกรณ์เน็ตเวิร์ค 4-5 เครื่อง และเครื่องสำรองไฟฟ้า(UPS) ขนาดกลาง ที่ต้องการระบายความร้อนระดับหนึ่ง (เรียกว่า Server Rack)
2.3 ตู้ Rack ที่ต้องการระบายความร้อนสูงสุด โดยส่วนใหญ่ ตู้ Rack เหล่านี้ จะติดตั้งอยู่ใน ห้อง Server หรือห้อง Data Center ที่มีอุปกรณ์ Server , Network Cable เป็นจำนวนมาก รวมถึงเครื่องสำรองไฟฟ้า UPS ที่ต้องการระบายความร้อนสูงสุด (เรียกว่า Data Center Rack)
วิธีการเลือกตู้ Rack สำหรับใช้งาน
1. ดูขนาดพื้นที่ ที่จะจัดวางหรือยึดติดตู้ Rack เป็นอันดับแรกๆ ว่าจะเหมาะกับตู้ Rack ประเภทใด มีพื้นที่มากน้อยแค่ไหน หากมีพื้นที่มาก ก็สามารถใช้ตู้ Rack แบบตั้งพื้น เพราะทำให้สามารถใส่อุปกรณ์ได้มาก รับน้ำหนักอุปกรณ์ได้เยอะ แต่หากมีพื้นที่จำกัด ก็ควรใช้ตู้ Rack แบบติดผนัง เพื่อป้องกันการเดินชน หรือสะดุดล้ม โดยน้ำหนักอุปกรณ์ที่วางในตู้ Rack ไม่ควรจะมากจนเกินไป
2. คำนวณหาขนาดที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ที่จะใส่เข้าไปในตู้ Rack ว่ามีขนาดความกว้าง (นิ้ว) ความสูง (กี่ U) ลึก (กี่ cm.) ที่สำคัญความลึกให้เผื่อไว้ประมาณ 15-20 ซม. เป็นอย่างต่ำ เพื่อระบายความร้อนและความสะดวกในการจัดอุปกรณ์ภายในตู้ Rack
3. เรื่องความต้องการในการระบายความร้อน เช่น การเลือกประเภทของตู้ Rack รวมถึงการเพิ่มเติมพัดลมระบายอากาศ เป็นต้น
4. จำนวนปลั๊กไฟต้องการทั้งหมดกี่ Outlet ในตู้ Rack โดยการเลือก ขนาดของรางไฟที่เหมาะสม เช่น 4,6,8,12 Outlets เป็นต้น
5. จำเป็นต้องมีถาดรองรับอุปกรณ์ (Fixed Shelf) ที่ไม่สามารถยึดในตู้แร็คได้ ซึ่งหมายถึงอุปกรณ์ที่ไม่ได้มีความกว้าง มาตรฐาน 19 นิ้ว เช่น เราเตอร์ ขนาดเล็ก Media Converter ขนาดเล็ก เหล่านี้เป็นต้น
6. จำเป็นต้องมีถาดรองรับสำหรับวางคีย์บอร์ดแบบ Slide ไว้ในตู้ Rack หรือไม่ (ภายในตู้ Rack ถ้ามีจอมอนิเตอร์และคีย์บอร์ด เพื่อให้เกิดความสะดวกในการใช้คีย์บอร์ดอาจจะต้องมีถาดรองรับที่เป็นแบบ Slide)
7. อุปกรณ์สำหรับการจัดระเบียบสาย Network Cable ให้สวยงาม จำเป็นต้องมีหรือไม่
8. สีของตู้ Rack ต้องการสีดำหรือสีขาว เป็นต้น
หลักการจัดวางอุปกรณ์ในตู้ Rack
1. อุปกรณ์ที่มีน้ำหนักมาก และมีขนาดยาว ควรวางไว้ด้านล่าง เช่น UPS เนื่องจากตู้ Rack ส่วนใหญ่ มีพัดลมระบายอากาศอยู่ด้านบน ดังนั้นอุปกรณ์ที่มีความยาวจึงไม่ควรวางไว้ด้านบน เพราะจะบังพัดลมระบายอากาศของตู้ Rack ทำให้อุปกรณ์ต่างๆภายในตู้ที่ปล่อยความร้อนจากด้านหลังไม่สามารถระบายความร้อนได้
2. ควรวางอุปกรณ์ที่ต้องการมอนิเตอร์หรือ อุปกรณ์ที่ต้องการบริหารจัดการสายบ่อยๆ เช่น Patch Panel ให้อยู่ในระดับสายตา หากระบบ Network มีปัญหาจะได้สะดวกต่อการตรวจสอบ
Credit : ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก Interlink
บริษัท เพาเวอร์เซิร์ฟ เทคโนโลยี จำกัด
(ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของบริษัท Interlink)
ราคาประหยัด ตอบกลับทันที ส่งด่วนทั่วไทย ให้คำปรึกษาฟรีโดยวิศวกรระบบ
ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
Line ID: @oknetworkshop
FB: oknetworkshop.com
M: 080-294-8282