คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมถึงลงทุนซื้อแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและเราเตอร์รุ่นท็อปราคาแพงแล้ว แต่ความเร็วที่ใช้งานจริงกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง? ปัญหาเน็ตสะดุด ติดๆ ดับๆ หรือช้าแบบหาสาเหตุไม่เจอ ยังคงวนเวียนกวนใจไม่จบสิ้น
คนส่วนใหญ่มักมองไปที่อุปกรณ์ปลายทางหรือผู้ให้บริการ แต่จากประสบการณ์หน้างาน ผมพบว่าต้นตอของปัญหาอาจมาจากสิ่งที่หลายคนมองข้าม นั่นคือ "สาย LAN" ซึ่งเปรียบเสมือนรากฐานที่สำคัญที่สุดของระบบเครือข่ายทั้งหมด การเลือกใช้และติดตั้งสาย LAN ที่ไม่ถูกต้องเพียงเล็กน้อย ก็สามารถบั่นทอนประสิทธิภาพของอุปกรณ์ราคาแพงของคุณได้อย่างมหาศาล บทความนี้จะเปิดเผย 5 ประเด็นสำคัญและความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเลือกใช้และติดตั้งสาย LAN ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความเร็วและความเสถียรของเครือข่ายของคุณ
--------------------------------------------------------------------------------
หลายคนคงคุ้นเคยกับเครื่องทดสอบสาย LAN แบบพื้นฐานที่มีไฟวิ่ง 8 ดวง เมื่อเห็นไฟติดครบทุกดวงก็สบายใจว่าสายเส้นนั้นใช้งานได้ดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุด หลายคนไม่ทราบว่าการทดสอบสายสัญญาณนั้นมีหลายระดับ และเครื่องมือชนิดนี้ทำได้เพียงแค่ระดับพื้นฐานที่สุดเท่านั้น
การทดสอบสายสัญญาณแบ่งได้ 3 ระดับหลักๆ คือ:
Verify (เช็กชื่อ): นี่คือสิ่งที่เครื่องเทสไฟ 8 ดวงทำได้ เป็นเพียงการตรวจสอบว่าสายทั้ง 8 เส้นมีการเข้าหัวที่ถูกต้องตามลำดับและไม่มีเส้นไหนขาดอยู่กลางทาง หรือเปรียบได้กับการ "เช็กชื่อ" ว่านักเรียนมาครบทุกคน แต่ไม่ได้บอกเลยว่าแต่ละคนทำการบ้านมาดีแค่ไหนQualification: เป็นการทดสอบที่สูงขึ้นอีกระดับ โดยเครื่องมือจะลองยิงข้อมูลจริงเพื่อดูว่าสายเส้นนั้นสามารถรองรับความเร็วที่กำหนดได้หรือไม่ เช่น 1Gbps แต่ก็ยังไม่ได้รับประกันคุณภาพตามมาตรฐานสากลในระยะยาวCertification (ตรวจการบ้าน): นี่คือมาตรฐานสูงสุด เปรียบเสมือนการ "ตรวจการบ้าน" อย่างละเอียด โดยใช้เครื่องมือระดับมืออาชีพวัดค่าประสิทธิภาพที่สำคัญต่างๆ เช่น Insertion Loss (การสูญเสียสัญญาณ), Return Loss (สัญญาณสะท้อนกลับ), และ NEXT (สัญญาณรบกวนข้ามคู่สาย) เพื่อรับรองว่าสายเส้นนั้นมีคุณภาพตามมาตรฐาน TIA/ISO จริงๆดังนั้น การที่ไฟติดครบ 8 ดวงจึงไม่ได้หมายความว่าสายเส้นนั้นจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเสมอไป และนี่คือหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหาเครือข่ายที่เกิดขึ้นแบบไม่ทราบสาเหตุ
การติดตั้งที่ผิดพลาดเพียงเล็กน้อยสามารถส่งผลกระทบต่อสัญญาณได้อย่างรุนแรง ต่อไปนี้คือ 3 ข้อผิดพลาดที่ผมพบบ่อยที่สุดหน้างาน ซึ่งทำลายความเร็วอินเทอร์เน็ตของคุณโดยไม่รู้ตัว:
NEXT (Near-End Crosstalk) ที่เราได้กล่าวถึงในข้อแรก หากค่านี้ไม่ผ่าน ก็มีสาเหตุหลักมาจากจุดนี้นั่นเองReturn Loss ที่วัดได้นั้นสูงขึ้นจนไม่ผ่านมาตรฐานInsertion Loss) และถูกรบกวนได้ง่ายขึ้น (NEXT)หลายคนเชื่อว่าเปลือกหุ้ม (Jacket) ด้านนอกของสาย LAN สามารถกันน้ำได้ 100% แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อแช่น้ำเป็นเวลานาน หากสาย LAN ถูกติดตั้งในบริเวณที่มีความชื้นสูงหรือแช่อยู่ในน้ำ อณูของความชื้นสามารถซึมผ่านเปลือกเข้าไปจนถึงตัวนำทองแดงได้
เมื่อความชื้นเข้าไปในสาย จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณสมบัติทางไฟฟ้า ทำให้ค่า Propagation Delay (ความหน่วงของสัญญาณ) และ DC Resistance (ความต้านทานไฟฟ้า) ผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐาน ส่งผลให้ประสิทธิภาพการส่งสัญญาณลดลงอย่างมาก สถานการณ์จริงที่สร้างความเสียหายได้บ่อยครั้งคือการติดตั้งแบบทางลัดที่อันตราย เช่น "ลากสายตรงๆ แล้วก็เทปูนลงไปเลย" โดยไม่มีท่อร้อยสาย ซึ่งความชื้นจากปูนที่ยังไม่แห้งสามารถซึมเข้าไปทำลายสายได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น สภาพแวดล้อมในการติดตั้งจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งและควรหลีกเลี่ยงไม่ให้สาย LAN สัมผัสกับความชื้นโดยตรง
เคยเจอปัญหานี้ไหมครับ "อุ้ย สายหมดกล่อง ทำยังไงดี?" เมื่อสาย LAN ที่เดินไว้ยาวไม่พอ หลายคนมักจะแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ง่ายแต่ผิดมหันต์ เช่น การปอกฉนวนแล้วนำสายทองแดงมาพันกัน, การใช้ตะกั่วบัดกรี, หรือแม้แต่การใช้ตัวต่อแบบเม็ดข้าวโพด (Urethane filled connector) ที่ออกแบบมาสำหรับสายไฟ
วิธีการเหล่านี้ ไม่ผ่านมาตรฐานการติดตั้งสายสัญญาณ และจะทำให้ค่าสัญญาณลดลงอย่างมหาศาล เพราะโครงสร้างทางกายภาพและวัสดุของสาย ณ จุดต่อนั้นเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง การใช้วัสดุอื่นอย่างตะกั่วบัดกรี จะทำให้ค่าความต้านทาน (Impedance) ณ จุดนั้นเพี้ยนไปอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดปัญหาค่า Return Loss ที่สูงมาก คล้ายกับกรณีการรัดสายด้วยเคเบิลไทร์ แต่รุนแรงกว่าหลายเท่า
วิธีต่อสายที่ถูกต้องตามมาตรฐาน TIA คือการใช้ Patch Panel หรือ Modular Jack (ตัวเมีย) ในการเชื่อมต่อระหว่างสายสองเส้น ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาคุณสมบัติทางไฟฟ้าของสายสัญญาณให้คงเดิมมากที่สุด
ความเชื่อที่ว่า "หมวดหมู่ (Category) ที่เลขสูงกว่าย่อมดีกว่าเสมอ" อาจไม่เป็นจริงเสมอไปเมื่อพิจารณาถึงความคุ้มค่าและการใช้งานจริง การเลือกสายให้เหมาะสมกับความต้องการคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ดังนั้น สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปจนถึงระดับองค์กรส่วนใหญ่ การลงทุนกับสาย Cat6a จึงเป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาดและคุ้มค่าที่สุดในระยะยาว
"อุปกรณ์อย่าง Access Point หรือ Switch อาจมีรอบการเปลี่ยนทุกๆ 5-8 ปี แต่ระบบสายสัญญาณ (Cabling) ที่ติดตั้งในอาคารนั้นอยู่ยาวนานถึง 20-30 ปี ดังนั้นการลงทุนกับสายที่มีคุณภาพและติดตั้งอย่างถูกต้องจึงเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุด"
--------------------------------------------------------------------------------
ประสิทธิภาพสูงสุดของระบบเครือข่ายไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเร็วอินเทอร์เน็ตหรืออุปกรณ์ราคาแพงเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับคุณภาพของ "โครงสร้างพื้นฐาน" อย่างสาย LAN ที่มักถูกมองข้ามเสมอ เปรียบได้กับร่างกายของเรา ต่อให้มีสมอง (Router) ที่ฉลาดล้ำ หรือมีกล้ามเนื้อ (อุปกรณ์ปลายทาง) ที่แข็งแกร่งเพียงใด หาก "เส้นเลือด" (ระบบสายสัญญาณ) ที่หล่อเลี้ยงทุกส่วนเกิดการอุดตันหรือตีบตัน ก็ย่อมส่งผลให้ทั้งระบบทำงานได้ไม่เต็มศักยภาพ
เมื่อรู้ถึงปัจจัยที่ซ่อนอยู่เหล่านี้แล้ว ถึงเวลาที่คุณจะหันมาตรวจสอบ 'เส้นเลือด' ของระบบเครือข่ายในบ้านหรือที่ทำงานของคุณแล้วหรือยัง?
ร้านขายอุปกรณ์เน็ตเวิร์ค สายแลน ตู้ Rack CISCO HP Switch oknetworkshop